การศัลยกรรมจมูก สำหรับชาวเอเชีย (ASIAN RHINOPLASTY)

การทำศัลยกรรมจมูก เป็นการทำศัลยกรรมอันดับต้นๆ ของชาวเอเชีย และเป็นศัลยกรรมที่ทำมากเป็นอันดับ 1 ใน ประเทศไทย จุดประสงค์เพื่อต้องให้จมูกดูโด่งสวย มีมิติ รับกับหน้าผาก ดวงตา คิ้ว โหนกแก้ม คาง และใบหน้าโดยรวม ในประเทศไทยส่วนใหญ่การทำศัลยกรรมจมูกจะเน้นไปที่การเสริม (Augmentation Rhinoplasty) เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่เป้าหมายไม่ใช่การเสริมสันจมูกเพียงอย่างเดียว แต่อาจมีการปรับรูปทรงปลายจมูก และตัดปีกจมูกร่วมด้วย

ทำไมต้องศัลยกรรมจมูก สำหรับชาวเอเชีย (ลักษณะจมูกของชาวเอเชีย)

คนไข้ชาวเอเชียส่วนใหญ่รวมถึงคนไทย เข้ารับการศัลยกรรมจมูกสำหรับชาวเอเชีย เนื่องจากมีลักษณะจมูกดังนี้

  1. สันจมูก (ดั้ง) เล็ก และสั้น ไม่ได้สัดส่วนกับส่วนต่างๆ ของใบหน้า เช่น แก้ม ตา และปาก ทำให้ใบหน้าโดยรวมดูแบน
  2. ปลายจมูกมีลักษณะสั้น เชิดขึ้น ดูไม่พุ่ง ไม่มีมิติ
  3. ปลายจมูกกลม เนื้อเยอะ มีลักษณะคล้ายลูกชมพู่ ไม่ได้สัดส่วนกับสันจมูก ทำให้จมูกดูใหญ่
  4. รูจมูกกว้าง เนื้อปีกจมูกมีลักษณะหนา และบานออก ทำให้จมูกดูกว้างออกด้านข้างไม่ได้สัดส่วนที่สวยงาม

ในปัจจุบัน นิยามของจมูกชาวเอเชียที่สวยธรรมชาติ และได้รูป ไม่ใช่แค่เสริมจมูกให้สูงโด่งอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่จะมีการปรับรูปปลายจมูกให้ดูพุ่งมีมิติมากขึ้น และให้ได้สัดส่วนที่พอดีกับสันจมูก และหน้าผาก

เทคนิคการศัลยกรรมจมูก สำหรับชาวเอเชีย

1. เสริมสันจมูก (Nasal bone augmentation)

ผู้ที่มีลักษณะของสันจมูกที่เล็ก ต่ำ ไม่ได้สัดส่วน จึงต้องมีการเสริมสัน หรือสะพานจมูก (Nasal bridge) ปัจจุบันวัสดุที่ใช้เสริมสันจมูก คือซิลิโคนสำหรับเสริมจมูก ซึ่งมีทั้งแบบสำเร็จรูป และแบบที่สามารถเหลาได้ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาล WIH เลือกใช้ซิลิโคนเกรดพรีเมียม ผ่านการรับรองจาก อ.ย.ประเทศไทยแล้ว ว่ามีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงน้อยมาก ให้สัมผัสที่เนียนเป็นธรรมชาติ และสามารถเหลา โดยใช้ศิลปะ เพื่อให้ซิลิโคนเข้ากับรูปหน้าได้

2. ปรับรูปทรงปลายจมูก (Nasal Tip Reshaping)

2.1 ปลายจมูกสั้นไม่มาก

สามารถปรับปลายจมูกได้โดยเทคนิค Closed Rhinoplasty ในกรณีที่คนไข้ต้องการ เพิ่มความสูงของสันจมูก ร่วมกับเพิ่มความยาวของปลายจมูกให้เหมาะสม โดยทางศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจมูกของ โรงพยาบล WIH จะแนะนำให้มีการวางเนื้อเยื่อที่ปลายจมูก เพื่อให้มีทรงที่สวยงามเป็นธรรมชาติ ลดแรงกดของปลายซิลิโคน และป้องกัน ปัญหาปลายจมูกบางในอนาคต

การเลือกใช้เนื้อเยื่อมาเสริมที่ปลายจมูก สามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ

  • เนื้อเยื่อของคนไข้เอง
  • เนื้อเยื่อเทียม กรณีใช้เนื้อเยื่อของคนไข้เอง (Autologous tissue) มี 2 ตัวเลือกดังนี้
  • กระดูกอ่อนหลังหู (conchal cartilage หรือ ear cartilage) เป็นกระดูกอ่อนใบหู ที่อยู่ในส่วนที่สามารถแบ่งมาใช้เสริมปลายจมูกได้ โดยไม่มีผลกับรูปทรงของใบหู และสามารถซ่อนแผลผ่าตัดได้บริเวณหลังหู
  • เนื้อเยื่อก้นกบ (Dermal fat graft) ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่มีความหนาที่เหมาะสมในการเพิ่มมิติของปลายจมูก และรองรับแรงกดของซิลิโคนบริเวณปลายจมูก

หากไม่ใช้เนื้อเยื่อของคนไข้เอง สามารถเลือกใช้ เนื้อเยื่อเทียม (Acellular Dermal Matrix หรือ ADM) ซึ่งมีความปลอดภัยสูง และใช้อย่างแพร่หลายทางการแพทย์ ข้อดีของการใช้ ADM เทียบกับการใช้เนื้อเยื่อของคนไข้เอง คือ การไม่มีแผลบริเวณอื่นเพิ่มเติม

2.2 ปลายจมูกสั้นมาก (ปลายจมูกเชิดเห็นรูจมูก)

แนะนำให้แก้ไขด้วยเทคนิค Open Rhinoplasty ในการยืดปลายจมูก โดยใช้กระดูกอ่อนแกนกลางจมูกของคนไข้เอง (Septal cartilage) ร่วมกับกระดูกอ่อนหลังหู (Conchal Cartilage) เพื่อปรับโครงสร้างปลายจมูกใหม่ให้ยาวขึ้น มีความพุ่ง มีมิติ แบบไร้ซิลิโคนที่ปลายจมูก

2.3 ปลายจมูกงุ้ม

ลักษณะดังกล่าวสามารถแก้ไขได้ โดยใช้เทคนิค Open Rhinoplasty ร่วมกับการเสริมซิลิโคน เพื่อปรับโครงสร้างปลายจมูกให้สั้นลง และเชิดขึ้น (Upturn Tip-plasty)

2.4 ปลายจมูกทรงอ้วนหนา (จมูกชมพู่)

สามารถแก้ไขได้โดยใช้เทคนิค Open Rhinoplasty เพื่อลดความหนาของเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง (Subcutaneous tissue) และใช้เนื้อเยื่อกระดูกอ่อนในจมูกของคนไข้เอง (Septal cartilage) มาปรับโครงสร้างปลายจมูกใหม่ให้ยาวขึ้น ร่วมกับการเสริมสันจมูก มีความพุ่ง

3. ตัดแต่งปีกจมูก (Alarplasty) 

สำหรับผู้ที่มีปัญหาเนื้อปีกจมูกหนา และบานออก ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำให้มีการตัดแต่งปีกจมูกร่วมด้วย ซึ่งจะทำให้ทรงจมูกส่วนล่างแคบลง และสามารถลดขนาดรูจมูกให้เล็กลงอย่างเหมาะสมกับรูปทรงของจมูกโดยรวม เทคนิคการตกแต่งปีกจมูกที่ถูกต้อง จะต้องสามารถลดขนาดของรูจมูกให้เล็กลงตามความเหมาะสม โดยผลลัพธ์หลังการผ่าตัด สามารถรักษารูปทรงของรูจมูก ให้มีความกลมมนเป็นธรรมชาติ

ผลลัพธ์หลังการศัลยกรรมจมูก สำหรับชาวเอเชีย

ก่อน

หลัง

อาการ และการดูแลหลังศัลยกรรมจมูก

  1. หลังผ่าตัดปรับรูปทรงจมูก ในส่วนของจมูกจะมีเฝือกครอบ เพื่อป้องกันจมูกอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม อาจมีการบวม หรือเขียวช้ำบริเวณหนังตา หรือแก้มได้ จึงแนะนำให้ประคบด้วยถุงเจลเย็น (Cool Compress) ที่บริเวณตา และแก้มในช่วง 72 ชั่วโมงแรกหลังการผ่าตัด
  2. เวลานอน แนะนำให้นอนศีรษะสูง (นอนกึ่งนั่ง) โดยใช้หมอนหนุน 2 ใบ ในช่วง 1 สัปดาห์ลังการผ่าตัด
  3. ทำความสะอาดแผลอย่างถูกต้อง โดยใช้น้ำยาที่เตรียมให้
  4. รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งจนครบ
  5. ทำการตัดไหมภายใน 1 สัปดาห์ หลังการผ่าตัด
  6. งดใส่แว่นอย่างน้อย 2 สัปดาห์
  7. งดออกกำลังกาย หรือกิจกรรมหนักอย่างน้อย 1 เดือน

คำถามที่ถามบ่อย เกี่ยวกับการเสริมจมูก

วิธีการผ่าตัดเสริมจมูกแบบปิด และเปิดแตกต่างกันอย่างไร

เสริมจมูกแบบปิด (Close Rhinoplasty) เป็นการเปิดแผลเล็กด้านในรูจมูกสำหรับเสริมสันจมูกด้วยซิลิโคนเป็นหลัก ซึ่งเป็นการเสริมจมูกแบบปกติทั่วไป ข้อดี คือ เป็นการผ่าตัดเพียงรูจมูกด้านในใช้เวลาไม่นาน ดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก ข้อเสีย คือ มีซิลิโคนเสริมถึงปลายจมูก ดังนั้นการทำให้โด่ง หรือเชิดจะมีข้อจำกัด

ส่วนการเสริมจมูกแบบเปิด (Open Rhinoplasty) คือ เทคนิคศัลยกรรมที่เน้นแก้ไขโครงสร้างจมูกให้สมบูรณ์ ด้วยมีแผลเพิ่มเติม คือ บริเวณฐานตรงกลางจมูก ด้วยวิธีนี้ศัลยแพทย์จะสามารถเห็นโครงสร้างภายในของจมูกได้ชัดเจน ทำให้สามารถวิเคราะห์ปัญหาได้อย่างตรงจุด และแก้ทรงจมูกได้หลากหลายรูปแบบ ตอบโจทย์ปัญหาจมูกของแต่ละบุคคลได้ดีกว่าเทคนิคการเสริมจมูกเบบปิด ข้อเสีย คือ มีแผลเป็นตรงกลางจมูก และใช้เวลาในการผ่าตัด และพักฟื้นนานกว่า จึงต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์

ขึ้นอยู่กับเทคนิคการผ่าตัด โดยทั่วไปเสริมแบบปิด จะใช้เวลายุบบวม 1 – 2 สัปดาห์ ซึ่งเร็วกว่าเทคนิคแบบเปิด และจมูกจะเริ่มเข้าที่ช่วง 1 – 3 เดือน หลังผ่าตัด เมื่อครบ 6 เดือน จมูกจะเข้าที่ เห็นทรงที่ชัดเจน

เนื่องจากการฟื้นฟูหลังผ่าตัดของแต่ละคน มีความแตกต่างกัน โดยปกติแล้ว รอยช้ำหลังเสริมจมูกจะจางลงที่ประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ โดยแพทย์จะแนะนำให้ประคบเจลเย็นบริเวณใต้ตาหัวตา และจมูกในช่วง 3 วันแรกหลังการผ่าตัด

รู้ลึก รู้จริง ทุกเรื่องศัลยกรรม

ปรึกษาทางออนไลน์ ฟรี สามารถสอบถามได้ทุกเรื่อง

วันจันทร์ – วันอาทิตย์

08.00 น. – 20.00 น.